Friday, March 12, 2010

5. คุณยาย คุณแม่ ..และกรรมพันธุ์ตาโปน Grandma, mom, and my GD "inheritance" ..

ขอโทษทีจ้า หายไปซะนาน นอกจากศึกษาการปรับแต่งบล็อก เช่น วิธีสร้างแท๊บ Read More, เปลี่ยนสี headings, ฯลฯ แล้ว ก็วุ่นวายไปกับชีวิตตามประสาอ่ะนะ... รู้สึกผิดแฮะ ..ตั้งใจอยากทำบล็อกเผื่อแผ่ข้อมูลแล้วยังอุตริขี้เกียจอีกยัยป้าอ่ะ ..อ้ะ.. ได้ฤกษ์ซะที จาเล่าย้อนยาวท้าวอดีตให้อ่าน ใครเจอข้อมูลส่วนไหนที่เป็นประโยชน์กันได้ ป้าจะยินดีอย่างล้ำ วันนี้ขอโฟกัสเรื่องอดีตจริงๆ ย้อนไปถึงคุณยายเลย


ก็อย่างที่เกริ่นไว้ใน post #1 (ก่อนจะแว่บไปแว่บมาไม่ได้เขียนต่อเป็นเรื่องเป็นราวซะทีอ่ะค่ะ) ..หมุนกลับไปราวต้นๆ เดือนเมษาฯ ของปี 2007 ตื่นมาวันนึงหัวก็หมุนสวิงสุดเดชน่ากลัวมากถึงมากที่สุด เพราะเกิดมาไม่เคยเป็น แถมมันหมุนจนรู้สึกเหมือนกำลังดนเหวี่ยงลงเหวที่ไม่มีก้นหลุม เลยนอนผะงาบๆ สวดมนต์อยู่งั้นจนรู้สึกดีขึ้นแล้วแฟนเอายาหอมมาให้ ก็กลับมาติงต๊องได้เหมือนเดิม ...


ก็..จากวันนั้นไปจนวันที่หมอตรวจเจอว่าเป็นไทรอยด์เป็นพิษสะกิดตาโปนน่ะ ..มานึกย้อนไป ก็เริ่มระลึกชาติได้หน่อยๆ นะว่าตัวเองเคยสังเกตเห็นความผิดปกติของตาขวามาได้พักหนึ่งแล้วนะ แต่ก็คิดไปว่าเป็นปัญหาจาก contact lens ที่ใส่ แถมมีเปลี่ยนยี่ห้ออีกแน่ะ หาว่ามันระคายตา ทำน้ำตาไหลเลยบวมๆ ไปโน่น แม่บอกว่าจำได้ว่ามีการมาเปรยๆ ว่าแม่ดูดิ ตาไม่เท่ากัน ฮิๆ แล้วก็ยังบื้อต่อนะ ไม่ได้ใส่ใจ จนมันคงหมั่นใส้ทนไม่ไหวเลยโปนใส่ซะ


ก็นั่งโปนนอนโปนไปงั้น ทรมานน่าดู ไม่ได้ทรมานการเจ็บปวดใดๆ หรอกท่าน ..ทรมานใจกี๋ต่างหาก เพราะหมดสวย แต่งตาก็ไม่ช่วย ไปไหนไม่อยากไป กลายเป็นกบจำศีล ถ้าต้องไปไหนก็ใส่แว่นสีชา คนนึกว่าตาบอดอีก ห๊วย... ก็เลยใช้เวลาที่ไม่ไปไหนน่ะเข้า net ขุดคุ้ย google หาข้อมูลโรคเป็นบ้าเป็นหลัง ..ทำให้เห็นใจคนสมัยก่อนที่เป็นโรคนี้จัง เค้าคงแย่น่าดูเพราะไม่มีลู่ทางข้อมูลให้ศึกษาได้มากและสะดวกอย่างในปัจจุบันเน๊อะ ..เขียนถึงสมัยก่อน ก็นำมาถึงเรื่องคุณยายนี่ล่ะ ..


ก็..อยู่มาวันหนึ่ง (ตอนนั้นตาเริ่มดีขึ้น โปนน้อยลงแล้ว) ป้ากำลัง scan รูปทำ Book of Life อยู่ ก็ไปสะดุดตารูปที่คุณยายนั่งอยู่กะเราตอนสักสอง-สามขวบ แล้วใส่แว่นดำทรงกลมสุดเปรี้ยวเชียวนะ เลยหันไปแซวกะแม่ว่า "ดูดิแม่ คุณยายเปรี้ยวน่าดู สมัยนั้นยังใส่แว่นดำด้วยเหรอ" แม่หันมาบอกว่า "อ๋อ ตอนนั้นไงที่คุณยายตาเหลือก น่ากลั๊ว" เราก็ .. เห๊อ เหลือกแบบผีกระสือยายสายหรือเหลือกอารายหว่า.. แม่อธิบาย "คุณยายตาถลนๆ ออกมาน่ะ ก็เลยใส่แว่น ไม่มีใครรู้ว่าเป็นอะไร" อู๊ยยยยย.. อิฉันรู้เจ้าค่ะ ก็เป็น Hyperthyroid & Graves Disease แบบคุณหลานนี่ยังไงเล๊าาาาาาา .. ใช่แล้ว.. มันเป็น .. ก ร ร ม พั น ธุ์ ..
(อ่านต่อ คลิกที่ 'read more' เลยจ้า)


อันนี้ยืนยันเหยียดยันได้เลยว่าจริงๆๆ ป้าเคย google เจอ [http://answers.yahoo.com/question/index?qid=20060808205130AAicI3F + www.suite101.com/lesson.cfm/19330/2900/4 + http://www.autoimmunediseasesupport.com/archive/index.php/t-279.html ..ฯลฯ] แต่ตอนนั้นไม่เคยรู้เรื่องคุณยายตาโปน แล้วก็ไม่ได้ปะติดปะต่อว่าแม่เป็น ทำไมเราก็เป็น -_-" ..ขอเสริมด้วยจ้ะว่า แม่ของป้าน่ะ หมอตรวจเจอว่าเป็น Hyperthyroid ล้ำหน้าอิชั้นได้ไม่ถึงปีเลยอ่ะ แต่เคสแม่โชคดี เจอทันการ ตายังไม่โปน แล้วก็ได้กินยาจนบรรเทาไปแล้ว (ขอแถม.. แต่มาวันนี้ ณ บัดนี้ ค่า TSH แม่ลงต่ำและ FT4 สูง คือกลับมาเป็นอีกแล้วนะ เพราะฉะนั้น ขอบอก.. เป็นแล้วก็เป็นอีกได้ถ้าไม่ดูแลตัวเองคร๊าบ)


อ้อ..เกือบลืมสุดเด็ด จำได้ว่าแม่เคยเล่าว่า ตอนเข้าร.พ. ก่อนจะเสีย คุณยายมีไข้สูงมากๆ หงุดหงิดโวยวาย แถมจิตหลอนด้วย (เช่น อยู่ดีๆ ยกมือขึ้นกรีดกรายชื่นชมว่าเล็บสวยถูกใจมาก แล้วก็เรียกแม่บอกว่าให้เอาเงินให้ช่างทำเล็บให้หน่อย แม่เราก็นึกว่าผีหลอก ช่างเล็บเลิบที่ไหนล่ะ ไม่มีใครสักคน แถมเล็บคุณยายก็ไม่ได้ทาเลยด้วย) สุดท้าย คุณยายเสียโดยไม่มีใครทราบสาเหตุ .. มาวันนี้คุณหลานรู้แล้ว ...คุณยายเป็น Thyroid storm นั่นเอง [http://www.suite101.com/lesson.cfm/19330/2898/5] เพราะเป็น hyperthyroid และตาโปน Graves Disease มานานโดยขาดการรักษาที่ถูกต้อง เสียดายที่บ้านเราสมัยนั้นไม่มีใครรู้จักโรคนี้ [ขนาดที่เมืองนอกเอง สมัยก่อนก็ยังรู้กันไม่มากเลย คนเป็น Graves Disease ถูกหาว่าเป็นบ้า อันเนื่องมาจากอาการของโรค เช่นอารมณ์แปรปรวน โมโหร้าย หงุดหงิดจิตเสื่อม จิตหลอน เพ้อ ขี้หลงขี้ลืม ฯลฯ และมักโดนจับเข้าร.พ.บ้าจนเป็น thyroid storm ตายไปเอง ฮือๆ น่าสงสารมากเลย]


เรื่องคุณยายยังไม่หมดจ้ะ ..ได้มาทราบเพิ่มเติมจากคุณน้าของป้าภายหลังว่า ที่จริงแล้ว คุณยายเคยผ่าต่อมไทรอยด์เมื่อช่วงปี 2505 (1962) จำกันไม่ได้แล้วว่า ตัดต่อมทิ้งหรืออย่างไร แต่คอที่เคยเต่งๆ ก็ไม่ตุ่ยอีกแล้ว มีแต่รอยแผลเป็น หลังผ่าได้ 2 ปี คุณยายก็มีอาการอย่างที่เล่าในย่อหน้าก่อนนี้และเสียเมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2507 (1964) ค่ะ

.. แล้วพระจันทร์ก็เวียน เปลี่ยนตำแหน่งกับพระอาทิตย์ไปอีกเป็นร้อยๆ รอบ จนถึงวันที่ป้าเริ่มใจชื้นขึ้นมั่ง เมื่อค่า FT4 กลับเข้าค่าเฉลี่ยเป็นปกติในเดือนธันวาฯ (2007) แต่ตาก็ยังแอบมีโปนๆ อยู่อ่ะนะ (ตอนนั้นคุณหมอไม่ได้สั่งวัดค่า TSH น่าเสียดาย ช่วงนั้นป้าก็ยังรู้เรื่องโรคไม่ลึกเท่าไหร่ ไม่งั้นต้องแอบขอเพิ่มมาดูแน่ ดูคู่ดีกว่าดูเดี่ยว) ..สมัยที่คุ้ยข้อมูลแรกๆ จะบ้าตาย มันเยอะๆๆๆๆ เยอะเสียจนสติจะแตก คือไอ้เราก็มีอาการป้ำๆ เป๋อๆ กะ brain fog จากโรดนี้อยู่แล้ว โอย...ยิ่งต้องมาเอาความรู้เข้าสมองเป็นตันๆ นี่แทบเดี้ยงเลย ..ได้ไปอ่านเจอใน mediboard ของคุณคนนึงเค้าบ่นเหมือนกันและแนะนำให้ค่อยๆ เรียนรู้ไป ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นว่าเราไม่โดดเดี่ยวนะเย็นไว้โยม ค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ เก็บไปก็ได้ คือความอยากหาย ทำให้เราลนจนวุ่นเป็นลิงไปเลย
<<แหง่ว>>

No comments:

Post a Comment