Tuesday, April 27, 2010

8. ลูกตากับฟ้าแลบ Flashes

อาการหนึ่งที่มากับ Hyperthyroid พร้อม Graves' Disease คือการเห็นแสงวาบผ่านตาค่ะ

ครั้งแรกที่เห็น จำได้เลยว่าเป็นตอนก่อนนอน แล้วก็อุตรินึกขึ้นมาได้ว่าเพื่อนเคยต้องไปผ่าตัดตาฉุกเฉินเพราะเส้นประสาทตาฉีกขาด ทำให้เห็น "ฟ้าแลบ" แปล๊บขึ้นทางหางตา และตาเกือบบอด คืนนั้นกลัวมาก คิดไปสารพัด เช่น กลัวหลับแล้วตื่นมามองไม่เห็น ฯลฯ แต่พอหลังจากนั้น มันวาบมั่งไม่วาบมั่ง เลยชักชิน บวกด้วยความแหมะแฉะของตัวเอง ก็ไม่ได้ไปหาหมอตาจนแล้วจนรอด กระทั่งมาเริ่มโปนนั่นแหละค่ะ 

กลับไปดูในบันทึก ปรากฏว่า เห็นแสงวาบนำมาก่อนแล้วพักหนึ่ง ก่อนที่จะเกิดอาการ "โลกหมุน" ด้วยซ้ำค่ะ มารู้ทีหลังเมื่อตอนตาโปนแล้วและได้อ่านหนังสือของ Elaine ว่า มันเป็นหนึ่งในอาการ "เตือน" ของตาโปนด้วยแหละ

ช่วงเดือนมี.ค. ปี 2008 หมอตาของป้าแนะนำให้ไปพบคุณหมอตาอีกท่านหนึ่งที่เชี่ยวชาญทางประสาทตาโดยเฉพาะ จะได้ตรวจประสาทตา (optic nerves) และแก้วตา (cornea) ตามประสาคนมีอาการตาโปน อันนี้ตรงกับที่ Elaine เขียนบอกไว้เลยค่ะ ผลตรวจออกมา ...


ผลตรวจออกมาปกติดี แก้วตายังดี ประสาทตาก็ไม่มีรอยฉีกหรืออะไรเลย ทำให้ป้าใจชื้นขึ้นอย่างแรง คุณหมอบอกว่า แสงวาบที่เห็นคือ "เยลลี่" หรือ "วุ้น" ในตามันเกิดเคลื่อน หรือ "shift" ซึ่งไปตามธรรมชาติและวัยน่ะค่ะ ..คือแก่ตามเจ้าของ (อันนี้คุณหมอไม่ได้ว่าหรอก ป้าว่าเอง ฮี่) บางคนอาจมีวุ้นที่ซ่าจัดไปหน่อย เลยเคลื่อนตัวแรงแล้วไปกระทบ optic nerves ถ้าประสาทตาบางอยู่แล้วก็อาจทำให้ฉีกได้ แต่เดี๋ยวนี้ใช้เลเซอร์รักษาได้ค่ะ

ถ้าเป็นเรื่องประสาทตาฉีก อันนั้นแสงที่เห็นจะแปล๊บแรงเลย ไม่ใช่วาบแบบนิ่มๆ อย่างที่ป้าเห็น และคุณหมอสอนให้สังเกตด้วยว่า ถ้าวันไหนเกิดมองอะไรแล้วเห็นมีจุดดำๆ กระจายไปทั่วล่ะก็ ให้รีบเข้ามาหาหมอทันทีเลย เพราะนั่นแสดงว่าประสาทตาฉีกและมีเลือดออกแล้ว

จี้ดีอ่ะ คุณหมอแนะนำเรื่องการใช้เทปตา 2 ชั้นด้วยล่ะ เล่าว่ามีคนไข้คนหนึ่งเป็นตาโปนเหมือนกัน เค้าเอาเทปที่ใช้ทำตา 2 ชั้นมาแปะช่วยให้ตาดูเท่ากัน ป้าก็ไม่ได้ซักไซร้ไล่ถามคุณหมอหรอกว่าแปะข้างไหน เพราะนึกๆ ดูแล้ว ถ้าแปะข้างที่ไม่โปนเพื่อให้เท่าข้างที่โปน มันยิ่งน่าสะพรึงไปใหญ่นะป้าว่า..แบบเดินเหลือกมาแต่ไกลอะไรปานนั้น แล้วถ้าแปะข้างที่โปนให้ยุบดูไม่โปน ก็ไม่น่าจะยุบได้เพราะเทปมันทำให้เกิดชั้นของตาอ่ะ ..ใครลองไปทำดูได้ผลไงก็มาเขียนโพสต์เล่าสู่กันอ่านหน่อยเน้อ :-)

ผ่านไปอีกปี ..ป้าก็นัดไปตรวจ optic nerves กับ cornea ตามระเบียบ ผลก็ยังดีวางใจได้ ไชโย ..แต่รอบนี้เป็นอ.จ.หมออีกท่านหนึ่ง จำไม่ได้แล้วจริงๆ ว่ามาจ๊ะเอ๋หมอใหม่ได้ไง หมอท่านเดิมไม่อยู่แล้วฝ่ายนัดแนะนำอ.จ.หมอท่านนี้ให้ป้าหรือเปล่าก็คลับคล้ายคลับคลา แต่โชคดีที่ได้เจอมากเลย นอกจากคุณหมอจะเป็นหัวหน้าจักษุแพทย์ในโครงการของสมเด็จย่าแล้ว ยังใจดี น่ารักมาก ใช้เวลาอธิบายให้ป้าสบายใจเรื่องตาโปนกับ "ฟ้าแลบ" คุณหมอบอกด้วยว่า ที่จริงไม่ต้องตรวจ optic nerves ทุกปีก็ได้ ถ้าเราไม่ไปกวนเค้าบ่อยก็จะดีกว่า แต่ถ้ามีเริ่มอาการอะไรแปลกๆ เช่น จุดดำ แสงแปล๊บมาก ฯลฯ ก็ค่อยมาตรวจกัน แล้วคุณหมอก็ยังแนะนำวิธีดูแลและสังเกตอาการ ฯลฯ ด้วย ป้าเลยอยากแบ่งปันดังนี้ค่ะ ...

- วิธีตรวจสภาพ optic nerves ด้วยตนเอง = ปิดตาทีละข้าง มองไปข้างหน้าในระยะไกล โดยให้จับจุดวัตถุใดวัตถุหนึ่งเป็นหลัก และสังเกตบริเวณโดยรอบวัตถุนั้นว่าเราเห็นได้คลอบคลุมถึงไหน แล้วทำซ้ำกับตาอีกข้าง ควรทำการตรวจขอบเขตการมองเห็นนี้ทุกๆ 2-3 เดือนเป็นอย่างน้อย โดยต้องมองวัตถุเดิม บริเวณเดิมด้วยเป็นสำคัญค่ะ ถ้าเรามองเห็นได้คลอบคลุมเหมือนกันทุกครั้ง อันนี้จะช่วยบอกเราได้ว่า ประสาทตายังดีอยู่ แต่ถ้าวันไหนรู้สึกว่าเห็นขอบภาพชักจะมีแหว่งๆ ไปแล้ว หรือวงมันแคบกว่าเดิมมาก ให้รีบนัดหมอเพื่อรักษาประสาทตาด้วยเลเซอร์ก่อนมีการฉีกขาดค่ะ

- วิธีดูแล optic nerves = อย่ากลอกตาอย่างเร็วและบ่อย การหันมองไปทั้งศีรษะจะดีกว่าการเกลือกตาไปแรงๆ ไม่ควรเล่นเครื่องเล่นผาดโผนที่มีการทิ้งดิ่งด้วยความเร็วสูง หลีกเลี่ยงการกระโดดแรงๆ หรือการกระแทกที่ทำให้ศีรษะมีการโยกตัวอย่างแรง (คุณหมอบอกว่ามีหลายคนที่ประสาทตาฉีกขาดหลังเกิดอุบัติเหตุรถชนค่ะ)

ใครมีประสบการณ์เรื่องนี้ที่อยากเล่าไว้ให้เป็นความรู้ โพสต์คุยกันได้เลยนะคะ
^_^

No comments:

Post a Comment