Tuesday, May 15, 2012

เรื่องแล็บที่ควรรู้ .. Need 2 know re: Labs

ป้าหายไป ..แอบหนีไปเที่ยวงาน Floriade มา หนุ๊กหนุกล่ะตัวเอง ...ก็ 10 ปีแกเล่นมีครั้งหนึ่งอ่ะ ป้าก็เลยรีบไปซะก่อน จะรอ 10 ปีหน้าก็ไม่รู้จะเป็นฝุ่นไปแล้วป่าวไง (ป้าน่ะเป็นฝุ่น ไม่ใช่งานเค้า เอิิ๊กๆ)

เดี๋ยวพรุ่งนี้ถึงวันนัดหมอ endoฯ ละ ก็จะมา update ให้อ่านกันนะคะว่าที่ป้าหยุดยาตามที่ป้าแครอลแกเสนอแนะน่ะ ผลเลือดจะออกมาเป็นไงมั่ง ช่วยไม่ให้กลายเป็น hyPO ได้หรือเปล่า ฯลฯ

แต่สำหรับวันนี้ ขอลงเรื่องสำคัญให้อ่านก่อนค่ะ...พอดีเพื่อนส่งข้อมูลที่ดีอย่างแรงมาให้ เป็นประโยชน์มหาศาลเกินจะทำเพียงแค่ FW เมล์ได้ เลยอยากเอามาลงไว้ในนี้ด้วย เผื่อหลานๆ ได้ทราบกันด้วยค่ะ ไม่เกี่ยวกับโรคไทรอยด์ของหมู่เฮาโดยตรงหรอกนะ แต่ก็เป็นเรื่องเจ็บๆ ป่วยๆ เหมือนกัน และเป็นการดีที่ได้รู้เป็นอย่างยิ่งเลยค่ะ

"โรคแล็บทำ"... ปสด. เพราะผลแล็บ

อ่านความจริงที่ไม่เป็นข่าวนี้ดู

เคยมีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า "โรคหมอทำ"เป็นเรื่องราวว่าด้วยการเกิดโรคในผู้ป่วย เหตุเพราะการตรวจรักษาของแพทย์ !แล้วเป็นผลให้เกิดความแทรกซ้อนต่างๆ

ต้องรู้ว่าแพทย์ไม่ใช่เทวดา แน่นอนว่าแพทย์ต้องตั้งใจตรวจรักษาผู้ป่วยอย่างดีที่สุด แต่ก็อาจเกิดเหตุอันคาดไม่ถึงขึ้นได้ น้อยที่สุดก็แล้วกัน แต่ถ้าจะคาดหวังให้แพทย์ทำการตรวจรักษาไม่ให้ผิดพลาดเลย ถ้าผิดพลาดจะต้องถูกฟ้องร้องอย่างสุดชีวิต ย่อมเป็นแรงบีบคั้นที่ยากจะรับได้ของคนที่ยังไม่ใช่เทวดา แต่วันนี้ผมอยากจะจุดประเด็นเรื่อง " โรคแล็บทำ" ดูบ้าง

ลองอ่านเรื่องจริงต่อไปนี้แล้วใคร่ครวญ ทั้งนี้ ชื่อของโรงพยาบาลและห้องแล็บที่เกี่ยวข้อง ผมขอสงวนไว้โดยใช้เป็นตัวอักษรขึ้นมาแทน

เรื่องราวมีอยู่ว่า คุณเพิ่มชัยมีอันจะต้องเข้าโรงพยาบาล ก. เพื่อรักษาโรคติดเชื้อเรื้อรังอยู่ประการหนึ่ง บังเอิญแพทย์ตรวจละเอียดลงไปถึงค่าบ่งชี้มะเร็ง CA 19-9 ก็พบว่ามีค่า สูงผิดปกติถึง 99 U/ml (ค่าปกติ0-27 U/ml) เนื่องจากค่า CA 19-9 บอกถึงความเป็นไปได้ของโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งท่อน้ำดี เป็นต้น ในเมื่อตรวจได้สูงขนาดนี้ ก็จำเป็นอยู่เองที่จะต้องดำเนินการตรวจอื่นๆ เพื่อหาให้ได้ว่า คุณเพิ่มชัยจะมีมะเร็งที่ก่อตัวขึ้นตรงไหนบ้าง

เขาถูกตรวจไปทั่วตั้งแต่การทำ MRI แล้วก็ส่องกล้องทางหลอดอาหารและกระเพาะ
ส่องกล้องลำไส้ใหญ่ ก็ไม่เจอมะเร็ง พอดีว่าเกิดตรวจเจอนิ่วในถุงน้ำดี แพทย์จึงทำการผ่าตัดถุงน้ำดีเอานิ่วออก แล้วก็เอาไปพิเคราะห์ก็ยังไม่พบมะเร็ง ค่า CA 19-9 ก็ลดลงนิดเดียว เป็น 87 U/ml. และ 79.9 U/ml. ในเดือนถัดไป

นั่นแปลว่า ข้อสงสัยในเรื่องที่ว่าอาจมีมะเร็งอยู่ที่ใดที่หนึ่งยังไม่หมดไป แต่ในเมื่อตรวจไม่เจอ แพทย์ก็ได้แต่บอกให้ติดตามผลเป็นระยะๆ รวมความแล้วคุณเพิ่มชัยใช้จ่ายไปแล้ว 2 แสนกว่าบาท

แน่นอนว่า เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับใครก็ต้องร้อนใจอย่างไม่ธรรมดา คุณพิชัยก็เช่นเดียวกัน ในเมื่อการแพทย์แบบแผนยังให้คำตอบใดๆ ไม่ได้ ก็ต้องหันหาธรรมชาติบำบัด คุณเพิ่มชัยเริ่มควบคุมอาหารด้วยตัวเองไม่กินเนื้อสัตว์อีกต่อไป ปั่นน้ำผักกิน ออกกำลังกาย และพยายามฝึกสมาธิ และแล้วก็เดินเข้ามาหาผมเพื่อขอคำแนะนำ ผมตรวจเลือดให้เขาใหม่ แล้วก็พบเป็นที่ประหลาดใจว่า ค่า CA 19-9 ของเขามีระดับแค่ 4.8 U/ml. ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ปกติ ถ้าอย่างนั้นจะอธิบายได้อย่างไรถึงความแตกต่างของแล็บสองแห่งคือของ รพ.ก.กับแล็บ ข. ที่ผมส่งตรวจเป็นประจำ

เพื่อความแน่ใจหัวหน้าเทคนิเชียนของแล็บ ข. ได้ขอตรวจเลือดซ้ำซึ่งคุณเพิ่มชัยก็ยอม
ขณะเดียวกันคุณเพิ่มชัยรู้สึกสับสนเป็นอย่างมากจึงเดินเข้าไปตรวจเลือด ณ โรงพยาบาล ว. อีกแห่งหนึ่งด้วย โดยไม่ได้บอกเรา ปรากฏว่าผลของแล็บ ข. ออกมาเป็น 9.0 U/ml. ซึ่งก็ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ผลเลือดของโรงพยาบาล ว.กลับพบว่าเป็น 75.8 U/ml.!

ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าแล็บ ข. มีความผิดพลาดเช่นนั้นหรือ?

นับเป็นความละเอียดในการทำงานอย่างสูงของหัวหน้าเทคนิเชียนของแล็บ ข. ซึ่งพยายามหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ โดยที่ในระหว่างที่เธอตรวจเลือดซ้ำให้กับคุณเพิ่มชัย
เธอได้ส่งตัวอย่างเลือดไปยังแล็บ ของ 1 โรงพยาบาล1 โรงเรียนแพทย์ และอีก 1 ห้องแล็บ เพื่อยืนยันกัน

ผลก็ปรากฏออกมาดังนี้ว่า - แล็บโรงพยาบาล กท. ซึ่งเป็นโรงพยาบาลใหญ่พอๆ กับสองแห่งแรก ได้ผล 9.24 U/ml. แล็บโรงเรียนแพทย์ ซึ่งระบุชื่อ ณ ที่นี้ได้ คือโรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ผล 8.8 U/ml. ส่วนแล็บเอกชนอีกที่หนึ่งคือ แล็บ บ.ได้ 72.4 U/ml.

เรื่องนี้จะเข้าใจอย่างไร เพราะกลายเป็นว่าแล็บของโรงพยาบาลใหญ่ๆ แล็บโรงเรียนแพทย์ และแล็บเอกชนอีก 2 แห่ง ตรวจได้ผลออกมาเป็น 2 ขั้ว

เพื่อที่จะหาคำตอบให้ถึงที่สุด หัวหน้าเทคนิเชียนของแล็บ ข. จึงติดต่อกันระหว่างเพื่อนเทคนิเชียนในแต่ละโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ แล้วความจริงก็ปรากฏออกมาในที่สุด

คําอธิบายในเรื่องนี้ก็คือ ณ ปัจจุบันนี้น้ำยาที่ใช้ในการตรวจค่า CA 19-9 ของโรงพยาบาลและแล็บต่างๆ ทั่วประเทศไทย มีแหล่งซัพพลายจาก 2บริษัท คือบริษัทแอ็ปบอต และบริษัทโรช

ของบริษัทแอ็ปบอตนั้นมีความไวสูงมาก ผลก็คือมักจะตรวจได้ค่าสูง โดยอาจจะเกิดผลบวกลวง (false positive) ได้เยอะ อย่างกรณีของคุณเพิ่มชัย ซึ่งแท้ที่จริงแล้วไม่ได้เป็นมะเร็งแต่อย่างใด แต่เนื่องจากความไวของน้ำยาจากบริษัทแอ็ปบอตทำให้อ่านค่าได้ว่าสูง ส่วนของบริษัทโรชนั้น มีความไวต่ำกว่า จึงเกิดผลบวกลวงได้น้อยกว่า

ทีนี้โรงพยาบาลที่ใช้น้ำยาของแอ็ปบอตก็ ได้แก่ โรงพยาบาล ก. , โรงพยาบาล
ว., โรงพยาบาล ธ. และ แล็บ บ.

ส่วนโรงพยาบาลที่ใช้น้ำยาของโรช ได้แก่ โรงพยาบาลรามาธิบดี , โรงพยาบาล
กท., โรงพยาบาลบร. , โรงพยาบาล ส. และแล็บ ข. ซึ่งเราส่งตรวจมาตลอด

เมื่อทราบเรื่องราวทั้งหมดเป็นดังนี้ คุณเพิ่มชัยก็มีอันสบายใจได้ ว่าที่แล้วมาเป็นผลบวกลวงอันเกิดจากน้ำยาของแล็บทั้งสิ้น เงินที่เสียไปก็ด้วยความปรารถนาดีของแพทย์ซึ่งพบว่าค่าบ่งชี้มะเร็งของเขาสูงจัด จึงต้องตรวจหาแหล่งมะเร็ง เป็นอันเข้าใจได้ แต่เรื่องนี้ก็มีอันทำให้เขา ปสด. ไปหลายเดือนทีเดียว ส่วนแพทย์ที่ตรวจให้คุณเพิ่มชัยนั้น ผมเชื่อว่าท่านก็ไม่รู้หรอกว่าในกระบวนการตรวจแล็บมะเร็งในปัจจุบันจะมีน้ำยาที่ให้ผลแตกต่างเป็น2 ขั้วเช่นนี้ แม้กระทั่งผมเองและเชื่อได้ว่าแพทย์ทั่วประเทศไทยต่างก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางในเรื่องนี้เช่นกัน ต้องขอบคุณหัวหน้าเทคนิเชียนของแล็บ ข. เธอสู้อุตส่าห์เสาะหาคำตอบในเรื่องนี้ออกมาในที่สุด

อย่างไรก็ตาม กรณีของคุณเพิ่มชัยเป็นอุธาหรณ์ประการหนึ่งเกี่ยวกับเรื่อง "โรคแล็บทำ"นั่นก็คือ ปัจจุบันนี้มีการตรวจหามะเร็งอย่างเป็นล่ำเป็นสัน โดยบางทีก็ไม่มีข้อบ่งชี้อันสมควร เช่น บางโรงพยาบาลหรือบางแล็บมีการรับเหมาตรวจเลือดให้กับพนักงานของทั้งบริษัท หรือทั้งวิสาหกิจ เป็นแพ็กเกจแบบเหมาทั้งองค์กร ตรวจเลือดหลายอย่างรวมทั้งตรวจค่าบ่งชี้มะเร็งแบบครอบจักรวาลด้วย บางแล็บก็เสนอขายการตรวจค่าบ่งชี้มะเร็ง 12ชนิดให้กับใครก็ได้ที่กลัวจะเป็นมะเร็ง ในอัตราแพ็กเกจหลายพันบาท ผลที่ออกมาก็เป็นได้หลายอย่าง ส่วนใหญ่อาจจะอยู่ในเกณฑ์ปกติ เจ้าตัวก็เกิดความสบายใจ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงทางการแพทย์แล้ว ค่าบ่งชี้มะเร็งถ้าได้ผลลบ ในทางการแพทย์แล้วก็ไม่ได้ตัดใจได้ว่าคนๆ นั้นไม่เป็นมะเร็ง เพราะส่วนใหญ่ของคนเป็นมะเร็งนั้นค่าบ่งชี้มะเร็งไม่ขึ้นผิดปกติเสียด้วยซ้ำ

แปลว่า การตรวจครอบจักรวาลเช่นนี้ ถ้าได้ผลลบไม่ได้ตัดประเด็นการเป็นมะเร็งไปได้ แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเกิดได้ผลบวก ในจำนวนนั้นอาจมีส่วนหนึ่งเป็นมะเร็งจริง แต่ก็จะมีคนอีกส่วนหนึ่งซึ่งไม่ได้เป็นมะเร็ง แต่เกิดถูกตรวจได้ผลบวกเทียม อย่างกรณีของคุณเพิ่มชัยเป็นตัวอย่าง เรื่องแบบนี้ถ้าเกิดกับใครก็ต้องนับว่าโชคร้ายมหาศาล เขาคนนั้นจะ ปสด. ไปเป็นเดือนๆ เป็นปีๆ และสุดท้ายก็อาจกลายเป็นมะเร็งขึ้นมาจริงๆ ด้วยความเครียดจากผลแล็บเป็นเหตุก็อาจเป็นได้

แท้ที่จริงแล้ว ในโรงเรียนแพทย์จะสอนลูกศิษย์มาหลายสิบปีแล้วว่า การตรวจรักษาผู้ป่วยให้ดำเนินการเป็นขั้นๆ ไป เริ่มจากการซักประวัติซึ่งจะไขคำวินิจฉัยได้ราว 50%จากนั้นตรวจร่างกายจะไขคำวินิจฉัยได้อีก 25% จากนั้นตรวจแล็บปกติ เช่น แจงนับเม็ดเลือด ตรวจปัสสาวะ เอ็กซเรย์ปอด ซึ่งอาจไขคำวินิจฉัยได้อีก 15%เหนือกว่านั้นแล้วจึงค่อยสั่งตรวจแล็บพิเศษต่างๆ นี่คือการประกอบโรคศิลปะอย่างรับผิดชอบกับผู้ป่วย แถมช่วยผู้ป่วย ช่วยต้นสังกัด ช่วยประเทศชาติประหยัดการตรวจต่างๆ ที่ฟุ่มเฟือยและไม่จำเป็นออกไป

แต่ทุกวันนี้ ! การแพทย์พาณิชย์กำลังเข้ามาเบียดเบียนกระบวนการประกอบโรคศิลปะให้ผิดปกติไป การกระโดดข้ามขั้น ไม่ซักประวัติ ไม่ตรวจร่างกายผู้ป่วย และแล้วไปตรวจค่าบ่งชี้มะเร็งอย่างครอบจักรวาล ถึงขั้นที่ว่าโรงพยาบาลหรือแล็บเปิดแพ็กเกจรับเหมาตรวจพนักงานเป็นกลุ่มก้อน หรือเป็นแพ็กเกจเหมาตรวจมะเร็งสิบกว่าอย่าง โดยที่แพทย์อาจไม่ได้เห็นหน้าผู้รับการตรวจแต่ละคนด้วยซ้ำไป การดำเนินงานเยี่ยงนี้ น่าจะนับอยู่ในความถูกต้องตามครรลองคลองธรรมแล้วหรือ ? และจะมีใครตกเป็นเหยื่อของ "โรคแล็บทำ" อีกกี่สิบกี่ร้อยราย ใครจะรู้บ้าง ? ทุกวันนี้ผมได้แต่เตือนผู้คนรอบข้างว่า"อย่าตกเป็นเหยื่อของการตรวจมะเร็งแบบครอบจักรวาลเป็นอันขาด"

* ธรรมชาติบำบัด กับ นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล *

4 comments:

  1. ดีใจจังที่เจอ Blog นี้ ^^
    พอดีหนูเพิ่งตรวจเจอว่าเป็น Hyper เมื่อเดือน พค. 55
    ตาไม่โปน แต่คอโตพอสมควร เห็นว่าบวมโดยไม่ต้องเงยหน้าค่ะ
    ผลเลือดของเดือน กค. 55
    TSH < 0.005
    FT4 > 7.7
    T3 > 651
    คุณหมอแนะนำให้่กลืนแร่ค่ะ
    แต่หนูยังไม่พร้อมเลย

    ReplyDelete
    Replies
    1. ดีใจเหมือนกันค่ะที่หลานเจอป้า :-)

      ยังไงก่อนจะตัดสินใจเรื่องกลืนแร่ คุณคิมอย่าลืมไปอ่านข้อมูลที่หน้านี้เพิ่มเติมก่อนนะคะ
      http://thyroidstory.blogspot.com/p/rai.html
      จะได้มั่นใจว่าเป็นทางเลือกที่ตัวเองต้องทำแน่ๆ หรือเปล่า
      การกลืนแร่ "ไม่ใช่" ทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดเน้อหลาน
      ถ้าไม่ได้มีเรื่องมะเร็งไทรอยด์หรือไม่ได้แพ้ยา ก็มีทางเลือกที่ดีกว่ากลืนแร่เยอะค่ะ

      ไทรอยด์เราป่วย แต่เค้าไม่ได้เป็นตัวร้ายที่เราต้องฆ่าทิ้งเน๊อะ
      เค้าทำประโยชน์ให้ร่างกายเยอะมาก น่าสงสารต่างหาก

      คุณพระฯ คุ้มครองนะคะ
      ^_^

      Delete
  2. Kim เองค่ะ
    รายงานความคืบหน้าค่ะ
    T3,FT4 ของหนูยังสูงอยู่นิดนึง
    แต่ TSH < 0.005 อยู่เลย
    ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะคะ

    ปล. คุณหมอบอกว่าถ้าค่าเลือดโอเคก็ลองคิดถึงเรื่องกลืนแร่ดูด้วยค่ะ

    ขอบคุณมากๆ ค่ะ
    ขอให้คุณป้าแข็งแรงๆ นะคะ ^^

    ReplyDelete
    Replies
    1. จ๊ะเอ๋หลานคิม น่ารักจังมา update ให้ป้าและเพื่อนได้เก็บข้อมูล ขอบคุณค่ะ

      เนี่ยป้าเข้ามาตอบหลายวันแล้วแต่ไม่รู้เป็นไรมันส่งออกไม่ได้อ่ะ เลยต้อง copy เก็บไว้แล้วเข้ามา paste ตอบใหม่ ทำซ้ำๆ เป็นพักๆ กันอยู่เนี่ย 555.. เป็นงี้กะอีกหน้าด้วยเหมือนกัน พยายามตอบหลานชายอีกคนปรึกษาเรื่องกลืนแร่อ่ะค่ะ หวังว่าวันนี้คงส่งตอบทั้งคู่ได้ล่ะนะ

      ที่ถามมาว่าทำไม TSH ยังต่ำอยู่นั้น ป้าต้องถามต่อว่า T3 + FT4 ที่ยังสูงอยู่ คือสูงแบบยังไม่หลุดเกณฑ์หรือหลุดแล้วอ่ะจ๊ะ? ที่ป้าต้องถามเพราะถ้ายังไม่หลุดนอกเขต แต่ TSH ยังต่ำนั้น งั้นคุณคิมก็เหมือนป้าช่วงก่อนหน้านี้เลยจ้า จากที่ได้ไปปรึกฯ เพื่อนร่วมโรคผู้เชี่ยวของป้า แครอลเค้าบอกป้าว่า เรื่อง TSH ตกมันมาได้จาก 2 อย่างหลักๆ คือ คุณทั่นเปอร์เค้ากำลังหาทางกลับมา หรือไม่ร่างกายเราก็กำลังผลิต Graves' antibodies อีกตัวออกมาค่ะ

      ป้าเอาที่แครอลบอป้ามาลงให้อ่านเลยดีกว่าจะได้ไม่ตกหล่นค่ะ "..The fact that your TSH decreased could indicate one of two things: the hyperthyroidism is starting to come back (but hasn't just yet) *or* your body is now producing a different type of Graves' antibodies.

      You see, the stimulating Graves' antibodies are the ones that make us hyper with suppressed TSH. Further along in our journeys, some Graves' patients start to produce blocking antibodies which also suppress TSH.

      Sometimes, the blocking antibodies negate the effects of the stimulating ones and make us euthyroid with suppressed TSH.

      Other times, the ever-powerful blocking antibodies over-ride the effects of the stimulating ones and make us hypo with suppressed TSH..."

      กรณีที่ TSH ยังต่ำ และถึง T3 + FT4 จะสูงแต่ก็อยู่ในเกณฑ์ คุณคิมก็ยังไม่ต้องใช้ยา Tapazole หรือ Timazole สำหรับช่วงนี้นะคะ เพราะยาจะไปทำให้ระดับไทรอยด์ฮอร์โมนลดลง อาจทำเราแปรสภาพไปเป็นไฮโปแทนได้ล่ะ คอยดูผลเลือดทุก 2-3 เดือนไปก่อนดีที่สุดนะคะ อันนี้แครอลแนะนำจากประสบการณ์ส่วนตัวเค้าเลยค่ะ เพราะหมอเค้าให้กินยาโดยดูแต่ TSH ที่ต่ำแต่ไม่ดูว่า FT4 สูงแต่ยังดีอยู่ เค้าเลยกลายเป็นไฮโปไปเลยตอนนั้นค่ะ (แอบแถม..จุดนั้นทำให้เค้าเปลี่ยนหมอ แล้วหันมาศึกษาโรคอย่างจริงจัง จนรู้มากกว่าหมอเลยวันนี้ ฮี่ๆ)

      แต่...ถ้า T3 + FT4 สูงแบบหลุดเกณฑ์ รีบบอกป้ามาใหม่นะจ๊ะ เรามาคุยกันใหม่เน้อ
      โชคดีค่ะหลาน
      ^_^

      ปล. เหอๆ..อย่าว่าแต่คุณหมอของหลานเลย..คุณหมอป้าก็พูดงั้นเดี๊ยะเลยว่าถ้าเลือดดีแล้วก็น่าจะคิดเรื่องกลืนแร่อ่ะ :-( ... แต่เราก็ต้องยืนหยัดของเราไปค่ะ ไม่กลืนหนอไม่กลืนหนอ 555 ไม่ได้มีปัญหาเรื่องหัวใจ ไม่ได้เป็นเบาหวาน ไม่ได้มีเรื่องมะเร็ง ไงก็ไม่กลืนคร๊าบ...

      Delete