อุเหม่.. ไม่ชินกับที่เปิดหน้า blog แล้วเจอ post ล่าสุดอยู่กรอบบนแต่ post แรกอยู่กรอบที่โหล่ซะที ..แก่แล้วแก่เลย... คนอ่านเค้าจะเง็งเหมือนเราไหมหว่า
<< นี่ ป้า เลิกบ่น มาเล่าย้อนหลังให้อ่านก่อนดีกว่า >>
เออ ก็ได้ ...
ก็...ก่อนจะมาตาโปนเนี่ยนะ ประมาณต้นเดือนเมษาฯ ของปีที่ตรวจเจอโรคนั่นแหละจ้ะ (2007) ตื่นมาวันนึงดีๆ ป้าก็เกิดอาการหัวหมุนเฉยเลย หมุนแบบติ้วเลยนะ น่าสะพรึงมาก เพราะจะยกจะขยับหัวไม่ได้เลย โลกหมุนวิ้วๆๆๆ แล้วก็รู้สึกใจมันวูบเข้าวูบออก อธิบายไม่ถูกเลย ก็เลยตั้งนะโมฯ นอนนิ่งๆ มองจิ้งจกเล่น เพราะหลับตาก็ไม่ได้นะ มันเวียน แล้วสักพักก็ดีขึ้น แถมสุดที่รักเอายาหอมมาให้ดมพร้อมดื่มก็พอจะลุกขึ้นมาเดินได้ ...
ตอนนั้นนึกแค่ว่าคงเป็นน้ำในหูไม่เท่ากันแน่เลย เพราะเจ้านายเก่าที่เป็นโรคนี้เคยเล่าอาการให้ฟัง แล้วก็เคยอ่านเจอจากอะไรสักเล่มสองเล่ม .. หารู้ไม่...โดนไทรอยด์เล่นงานแล้วเต็มๆ อาการหัวหมุน หรือ vertigo มันเป็นหนึ่งในอาชีพหลักของโรคเราเลยเชียว จะว่าไปแล้ว ตอนนั้นตาขวาป้าก็โตกว่าตาซ้ายอยู่บ้างแต่เราไม่เคยใส่ใจ จำได้ว่าก่อนหน้านั้นเป็นเดือน เริ่มเห็นว่าตาขวารับแสงมากกว่าซ้ายอยู่นิ๊ดส์ เลยแอบโทษ contact lens เพราะนึกสาเหตุอื่นไม่ออก แถมยังมีหน้าเที่ยวบอกใครต่อใครใหญ่นะว่า ดูดิๆ ตาขวาฉันสว่างกว่าตาซ้ายอ่ะ .. แปลว่าไรหว่า เค้าก็งงๆ กันไป
ก็ปล่อยให้ตาขวาเพี้ยนๆ อยู่งั้นจนถึงเดือนตุลาฯ แน่ะ สุดท้าย eyeshadow กับ eyeliner เริ่มไม่ร่วมมือเพราะทายังไงตาก็ออกมาไม่เท่ากันยิ่งกว่าเดิม ก็เลยยอมลากตัวเองไปร.พ. ไปหาหมอตาซะ เพราะคิดว่าเป็นตาเจ็บตาแหกอะไรเทือกนั้น งานนี้สวรรค์โปรด เพราะคุณหมอเป็นคนดีที่รอบรู้ สาธุๆๆ ไม่หลอกให้ยาหยอดตา ฯลฯ และไม่คิดค่าตรวจ แต่บอกว่าป้าต้องเป็นไทรอยด์เป็นพิษแน่ๆ ให้ไปหาหมอเฉพาะทางแทนซะดีๆ เราก็งงๆ เป็นงั้นเหรอ เกี่ยวกันด้วยเหรอ .. เกี่ยวเต็มๆ ..มารู้ก็เมื่อเป็นซะแล้ว จบกัน ...
No comments:
Post a Comment